FM 98.50 MHz.
สถานีวิทยุเพื่อการศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

กฎหมายใหม่ และบทลงโทษที่นักดื่มควรรู้ถ้าเมาแล้วขับ

ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ การเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ แม้ทางรัฐเองก็มีกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ ออกมาเพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุเหล่านี้ แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก เมื่อดูจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่มีสาเหตุเกิดจากการเมาแล้วขับยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 รัฐมนตรีได้อนุมัติ พ.ร.บ.จราจรฉบับใหม่มาเป็นที่เรียบร้อยและเพิ่มบทลงโทษสำหรับกรณีเมาแล้วขับ จากเดิมจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท เป็นอัตราบทลงโทษใหม่ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับขั้นต่ำ 10,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ มีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาต จนถึงการยึดรถที่ใช้ไม่เกิน 7 วัน

     นอกจากบทลงโทษของผู้ที่เมาแล้วขับแล้ว หากเกิดเหตุจนทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ ยังมีโทษ จำคุก 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนไปเลย

      และหากเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายอย่างสาหัส จะมีโทษเพิ่มขึ้นเป็น จำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอน แต่หากผู้นั้นถึงแก่ความตาย โทษจะเปลี่ยนเป็น จำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000-200,000 บาท รวมทั้งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ฉะนั้น ขอแนะนำว่าหากเรารู้ตัวว่าจะต้องขับขี่เดินทางก็ไม่ควรดื่มหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จะดีที่สุดครับ เพราะตามกฎหมายแล้ว หากเรามีแอลกอฮอล์ เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในร่างกาย หากถูกเรียกเพื่อขอตรวจวัดแล้วพบค่าเกินก็ถือว่ามีความผิด

          หลายท่านอาจสงสัยว่าปริมาณ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเท่ากับเท่าไรหรือสังเกตได้หรือไม่ โดยค่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ที่เกิดขึ้นจากการดื่ม เทียบได้ดังนี้

          * เบียร์ 1 กระป๋อง = แอลกอฮอล์ 330 มิลลิกรัม

          * ไวน์ 1 แก้ว = 100 มิลลิกรัม

          * เหล้า 3 ฝา = 30 มิลลิกรัม

          * 1 ดื่มมาตรฐาน = เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 10 กรัม

          * 1 ดื่มมาตรฐาน = 1 ชั่วโมงขับออก

          รู้แบบนี้แล้ว นักดื่มทั้งหลายก็ควรมีสติในการดื่มแต่ทางที่ดีแล้ว หากดื่มก็ไม่ควรขับขี่ หากต้องการเดินทางจริง ๆ ก็อาจจะใช้บริการแท็กซี่ หรือหาที่พักนอนพักให้ร่างกายกลับมาปกติก่อนจะดีที่สุดปลอดภัยทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมเดินทางบนท้องถนนอีกด้วย